แชร์ประสบการณ์การเดินทางสู่ DIY Car Detailer ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา
ผมมีรถของตัวเองได้ตอนนี้ก็เกือบๆ จะครบหนึ่งปีละครับ สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยนอกจากขับมันคือการดูแลรักษามันครับ แล้วไม่รู้ว่าผมโชคดีหรือโชคร้ายที่โตมาจนอายุ 30 กว่าเนี่ย ไม่เคยต้องช่วยพ่อแม่ล้างรถที่บ้านเลย เลยกลายเป็นว่าผมไม่รู้ว่าวิธีล้างรถที่ถูกต้องมันคือยังไง
แต่แรกสุดเลยเนี่ยผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะล้างเองหรอกครับ ผมก็เหมือนกับทุกๆ คนคือ คิดไว้ว่าจะเข้าร้าน Car care ใช้เงินแก้ปัญหาให้คนจัดการให้ สิ่งที่ผมทำก็คือ ผมทักไปหาเพื่อนรักผมคนนึงว่า
ผมจำได้แม่นเลยว่า ผมเกือบละ เกือบจะเข้าวงจรร้านล้างรถอัตโนมัติละ ที่เราแค่ขับเข้าไปในสายพาน แล้วปล่อยให้มันฉีดน้ำกับปั่นๆ ให้จนเสร็จ ผมจำได้ว่าจอดต่อคิวอยู่หน้าร้านแถวบ้านอยู่ประมาณ 5 นาที แล้วผมก็ทำการตัดสินใจที่ดีที่สุดครั้งนึงในชีวิตคือ ผมเลือกที่จะไม่รอแล้วขับกลับบ้านไปเลย
ที่ผมบอกว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตเพราะหลังจากนั้นผมเลยได้รู้จักคำว่า รอยขนแมว หรือ Scratch & Swirl ครับมันคือ รอยข่วนเล็กๆ ในชั้นแลกเกอร์ซึ่งมองผ่านๆ อาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้ามันสะสมนานๆ เข้าตัวนี้แหละครับที่จะไปหักเหแสงที่ตกกระทบผิวสีรถ แล้วทำให้รถไม่เงา ซึ่งการล้างรถโดยการพารถไหลผ่านเครื่องให้มันปั่นอัตโนมัติให้เนี่ย ตัวสร้างรอยขนแมวชั้นดีเลย
ผมเป็นชาว Chemical Guys
หลังจากนั้นก็เป็นช่วงเวลาที่ผมเริ่มศึกษาครับ ซึ่งผมเคยเล่าไปแล้วบางส่วนในบล็อก มือสมัครเล่นเมธอด ถ้าใครยังไม่ได้อ่านก็ลองไปดูได้ ในช่วงแรกๆ ผมมีเพื่อนอยู่ 2 คนครับที่ทำให้ผมรู้จักวิธีการล้างรถที่ถูกต้องสองคนนั้นชื่อว่า Joey กับ Henry จากช่อง Chemical Guys ครับ
ด้วยความที่รถผมเป็นรถ Crossover เอาจริงๆ ทรงมันก็คล้ายๆ SUV เลยพยายามหาอะไรที่มันคล้ายๆ กัน คลิปแรกๆ ที่ผมดูในช่องนี้ผมจำได้แม่นเลยคือคลิปข้างล่างนี้ครับ ตัวผมน่าจะดูคลิปนี้เกินสิบรอบทั้งก่อนล้างหลังล้างรอบแรกๆ เพราะมันสอนอะไรผมเยอะมากและเพราะคลิปนี้เลยเป็นการเซต Stage ให้ผมเข้าสู่วงการนี้
ผมยึดวิธีการล้างตามคลิปนี้เป็นพื้นฐานมาจนถึงทุกวันนี้ครับ ไม่ว่าจะเป็น Wheel first, 2 Buckets Method, Pre-rinse, Top to Bottom ฯลฯ สิ่งที่ผมเห็นในคลิปนี้ไม่ใช่แค่ Process ครับแต่มันเป็น Practices ซึ่งตอนนี้พอมามองย้อนจริงๆ มันเหมือนการเขียนโปรแกรมที่เรามักจะมีคำพูดว่า “เขียนโปรแกรมได้ กับเขียนโปรแกรมเป็น”
ขยายความอีกนิดที่ผมบอกว่ามันเหมือนกับการเขียนโปรแกรมคือ ตอนเราเขียนโปรแกรมเนี่ย ถ้าเรามีปัญหา A→B ถ้าคิดแบบง่ายที่สุดคือเราต้อง do whatever it take ที่จะแก้ปัญหาเพื่อให้โปรแกรมได้ผลลัพธ์จาก input ไปเป็น output แบบที่เราต้องการใช่มั้ยครับ แต่ถ้าเรามีประสบการณ์มากขึ้นใช่ครับ มันไม่ใช่แค่จาก A→B สิ่งที่เวลาเราเขียนโปรแกรมมอง เราต้องมองว่า Code มัน Maintain ได้มั้ย, Design Principle ได้มั้ย, Performance ได้มั้ย, Testable มั้ย ซึ่งถ้าเราไม่ระวังเนี่ย Side effect ที่จะเกิดขึ้นก็คือ Technical dept ครับและยิ่งทำให้การเขียนโปรแกรมครั้งต่อๆ ไปที่ต้องยุ่งกับจุดนี้ยากขึ้นเรื่อยๆ
กลับมาที่การล้างรถ ไอการล้างรถเนี่ยถ้าเปื้อนดินมา แค่เอาน้ำฉีดมันก็ (ดู) สะอาดครับ มัน (ดู) สะอาดตอนฉีดน้ำเสร็จนั่นแหละ แต่พอเราปล่อยทิ้งไว้ คราบน้ำก็จะมาละ แล้วพอเรามองดูดีๆ คราบหลายอย่างมันก็ยังอยู่ครับ เราก็เลยต้องมี Practices หลายๆ อย่างเกิดขึ้นมาเพื่อที่จะให้เราได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและเกิด Side effect น้อยที่สุดครับ ยกตัวอย่างเช่น ทำไมถึงต้องล้างจากบนลงล่าง เพราะว่าน้ำมันไหลจากบนลงล่างนั่นก็เหตุผลหนึ่ง แต่ที่สำคัญคือ ส่วนบนของรถจะสกปรกน้อยกว่าด้านล่างครับ และสิ่งสุดท้ายที่เราต้องการให้เกิดคือการ cross contaminate คราบดินโคลนหรือผงเบรคจากข้างล่าง ขึ้นไปข้างบน หรืออีกตัวอย่างนึง ทำไมถึงต้อง 2 buckets method เพราะเราหลีกเลี่ยง Side effect ที่เราไม่ต้องการที่สุดคือ Scratch & Swirl หรือรอยขนแมวให้ได้มากที่สุดครับโดยการหมั่นล้าง Wash mitt เราบ่อยๆ ระหว่าง Contact Wash ซึ่งถ้าเราไม่ป้องกันไว้แต่เนิ่นๆ รอยขนแมวพวกนี้ก็จะสมเป็น Technical debt ต่อไปให้รถเราไม่เงา หรือแม้กระทั่งตัวอย่างสุดท้ายว่า ทำไมล้างเสร็จเราต้องลง Wax/Sealant ด้วย ก็เพื่อที่จะปกป้องผิวรถให้คราบสกปรกมันติดยากขึ้น ทำให้การล้างครั้งต่อๆ ไปง่ายขึ้น เหมือนกับที่เราเพิ่ม Unit tests ไว้เพื่อให้โค้ดมัน maintain ง่ายขึ้นกับการต่อเติมในอนาคตครับ
จากตัวอย่างจะเห็นว่านี่แหละครับ มันไม่ใช่แค่ Process A→B แต่ในนั้นถ้าเรามองดีๆ มันมี Practices หรือ Art หลายๆ อย่างที่ช่วยให้เราได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นด้วยครับ
โลกนี้ไม่ได้มีแค่ Chemical Guys
พอผ่านช่วงสามเดือนแรก ก็เป็นช่วงที่เริ่มขยายจักรวาลไป Youtube channel อื่นๆ แล้วไม่ว่าจะเป็น Vermijl Car Detail, Pan the organizer, The Rag Company, Proper Care หรือจะเป็น Channel คนไทยอย่าง O2CARS แม้กระทั่งกลุ่ม Facebook: TWCC : Thai Washer Car Club ก็เป็นแหล่งความรู้ให้ผมเยอะมากครับ จนเริ่มบอกไม่ถูกว่า รู้อะไรมาจากที่ไหน แต่สิ่งสำคัญที่ได้มายิ่งกว่าความรู้คือการโดนป้ายยาครับ ซึ่งพอเรา Expose ตัวเองมาเกินกว่า 1 Brand ก็จะเริ่มมีความอยากลองนั่น ลองนี่เต็มไปหมด เห็นคนอื่นเค้ามี Water Beading ก็อยากลอง Wax ตัวนั้นบ้าง Sealant ตัวนี้ก็ดี
เอาจริงๆ ต้องขอบคุณคุณแฟนอย่าง กต มากๆ ที่ห้ามไว้ว่าให้ใช้ของที่มีให้หมดก่อน โดยเฉพาะ Wax/Sealant อย่าง Butter Wet Wax หรือ JetSeal ถึงแม้จะเติมใส่รถเรื่อยๆ ในช่วงแรกๆ พยายามใช้หนักมาก แต่นี่ยังเหลืออีกเกินครึ่งขวด จนกระทั่งเข้าหน้าฝนแบบจริงจัง ตกวันเว้นวันนี่แหละถึงเริ่มเปิดจักรวาลมากขึ้น
อย่างแรกที่เริ่มเปิดหลังจากออกมาจากโลกของ Chemical Guys คือ P&S Bead Maker ครับ อยากสัมผัสคำว่า Water Beading ที่ราคาถูกที่สุด แต่ยังคงมาตรฐานสากลอยู่ แล้วก็ไม่ผิดหวังเลย เพราะลุยฝนในช่วงนั้นนี่น้ำเป็นหยดกลมสวยงามมาก ผิดกับ JetSeal ที่เป็น Sheeting มาตลอด
อย่างที่สองคือน้ำยาเคลือบกระจกครับ จริงๆ ดูไว้หลายเจ้ามากทั้ง RainX, CarPro FlybyForte หรือแม้กระทั่ง Chemical guys HydroView แต่สุดท้ายก็มาจบที่ Glaco ทั้งระบบตั้งแต่เตรียมผิวกระจก Compound, เคลือบด้วย Ultra Glaco, Maintain ด้วย Glaco De Cleaner ซึ่งทำให้ผมได้สัมผัสกับหยดน้ำไหลผ่านกระจกไปแบบน่ารักมาก แล้วไม่เคยเห็นน้ำเป็นแผ่นในกระจกอีกเลย
แต่สิ่งที่มันคาใจอยู่นานมาก ช่วง 6 เดือนนั้นคือ ถึงแม้เราจะมีกระบอกฉีดโฟมที่ดีที่สุดในโลกอย่าง MJJC Foam Canon Pro แต่ก็ไม่สามารถสร้าง Foam หนาๆ ได้แบบที่ตั้งใจ จนสุดท้ายต้องอัพเกรดเครื่องฉีดน้ำไปใช้ตัวแรงอย่าง Flow Energy M9 130 bar จากตัวเก่า Bosch Aquatek 100 bar ซึ่งเป็นการอัพเกรดที่คุ้มค่ามาก นอกจากจะได้โฟมหนาแบบที่ต้องการแล้ว ยังเสียงเบาลงนิดนึงด้วยถ้าเทียบกับตัวเดิมๆ
ช่วงนี้ถ้ามามองย้อนดูเป็นช่วงที่ Satisfy need ตัวเองสูงมาก เพราะตอนเราเริ่มต้นใหม่ๆ เราจะใช้อุปกรณ์ที่ราคาไม่แพงมากเพราะไม่รู้ว่าเราจะจริงจังรึเปล่า เวลาถอยจะได้ไม่เจ็บตัวมาก แต่พอปลดล็อกแบรนด์หรือรู้แล้วว่าของที่ดีที่สุดในหมวดนั้นๆ คืออะไร แล้วหามา Satisfy ตัวเองได้ ผลลัพธ์ที่ได้มันโคตรน่าพอใจเลยครับ แต่ข้อเสียคือ มันเริ่มเป็นจุดแรกที่ผมรู้สึกอิ่มตัวละ เพราะเราได้ทุกอย่างที่เราต้องการแล้ว
เข้าสู่โลกของ Rinseless
ถึงจุดนี้น่าจะเริ่มเห็นแล้วใช่มั้ยครับว่า มันไม่ใช่แค่ Practice ละ มันเป็นอุปกรณ์เต็มบ้านละที่ทำให้งานมีประสิทธิภาพซึ่งถามว่ามันดีมั้ย มันก็ดีแหละ แต่ก็เป็นช่วงเดียวกันที่ผมเริ่มจะ Realize ว่ากว่าจะล้างได้แต่ละทีนี่ เสีย Overhead เตรียมของเกือบชั่วโมง ล้างอีก 2 ชั่วโมง ซึ่งมันใช้เวลานานมากๆ แล้วคือ ล้างเสร็จผลลัพธ์ถึงจะพอใจมา แต่ก็หมดแรงมากๆ เช่นกัน นี่ยังไม่พูดถึงตอนเก็บของที่ล้างมาเหนื่อยๆ ต้องเก็บอุปกรณ์ทั้งหมดอีก ช่วงนี้แหละครับที่ทำให้ผมค้นพบอาจารย์คนใหม่ผม คนนั้นมีชื่อว่า Yvan Lacroix ครับ
จริงๆ ต้องย้อนไปช่วงหน้าฝนหนักๆ เนี่ย ผมเริ่มมองหาวิธีที่จะล้างรถได้เร็วๆ เพราะแปปๆ ฝนก็ตก แต่เราอยากให้รถสะอาดตลอด ช่วงแรกๆ คือไปทาง Quick Detailer แต่ตัว Quick detailer เองก็ไม่สามารถจะ Lift คราบไคลที่เกิดจากน้ำผสมฝุ่นแห้งติดรถได้มากครับ ผมเลยมองไปที่ตัวเลือกที่สองคือ Waterless ที่เป็นอารมณ์ประมาณ Spray ฉีดแล้วเช็ดที่ Emulsify คราบขึ้นมาได้ดีกว่า แต่ส่วนตัวผมก็ยังไม่ชอบ Waterless มากเพราะรู้สึกว่ามันทิ้งคราบน้ำยาไว้หลังจากเช็ดระดับนึงอยู่ ถึงจะพยายาม Buff ออกแล้ว แล้วก็เปลืองด้วยครับ ล้างรอบคันด้วย Waterless เนี่ยแทบจะหมดไป 1/5 ของขวด 16oz ละ นั่นเป็นจุดที่ทำให้ผมมาเจอสิ่งที่เรียกว่า Rinseless Wash ครับ
ต้องบอกว่าตอนแรกๆ ที่ผมลอง Rinseless Wash กับ ONR เนี่ย ผมไม่ประทับใจเลยครับ เอาตั้งแต่การ Mix น้ำยาตอนแรกที่อัตรส่วน 1:256 ซึ่งมันไม่ใช่อะไรที่จำได้ง่ายๆ ในตอนแรก ทำให้เราก็ไม่มั่นใจว่าน้ำยาได้อัตราส่วนที่ต้องการรึเปล่า เพราะผสมเสร็จมันไม่ได้ลื่นๆ เหมือนสบู่เลยครับ รู้สึกแทบไม่ต่างจากน้ำเปล่าเลยไม่รู้ว่ามันจะลื่นพอที่จะทำ Contact wash โดยไม่เกิด Scratch ได้มั้ย และถึงแม้จะผลัดๆ ใช้ผ้าหลายๆ ผืนแล้ว แต่รู้สึกว่าคราบไคล มันไม่ค่อยออกเท่าไร สุดท้ายก็มาล้างใหญ่จัดเต็มระบบ Foam Canon อยู่ดีถึงรู้สึกว่าสะอาดกว่าแล้วผมก็ลืม Rinseless ไปเลย
ผ่านมาหลายเดือนจนผมกลับมาอีกครั้ง แล้วมารีวิวว่าตัวเองพลาดอะไรไป (วิธีเดิมครับ ผมดูทุกคลิปใน Youtube ที่เจอจากการ Search ว่า Rinseless Wash) ทำให้ผมเจอว่าสิ่งที่ผมพลาดไปมากๆ ในครั้งที่ผมไม่ประทับใจคือ ผมไปใช้ Foam Sprayer ทำ Pre-rinse ครับ เลยทำให้ตัวน้ำยามันไม่ได้กระจายตัวไป Emulsify คราบเท่าที่ควร พอรอบนี้กลับมาใช้หัว Spray ธรรมดาๆ นี่แหละ กลายเป็นการ Emulsify คราบทำได้ดีกว่ามากๆ อีกอย่างที่ผมพลาดไปคือผ้ายังไม่หมาดพอครับ ทำให้พอมันชุ่มๆ เนี่ยมันดึงคราบติดออกมาได้น้อยกว่าตอนผ้าหมาดมากๆ (Yvain จะใช้คำว่า On the verge of dripping) เลยทำให้รู้สึกว่าล้างไม่สะอาดเลยในตอนก่อนหน้านี้
พอรู้จุดที่พลาดก็ลอง Practice ครับ ซึ่งผลลัพธ์มันก็ดีขึ้นมากครับเพราะพอปล่อยให้ Pre-rinse มันอยู่กับผิวนานขึ้น มันยิ่ง Emulsify คราบขึ้นมากับน้ำยา พอเช็ดแล้วเห็นน้ำเป็นสีขุ่นๆ นี่คือรู้เลยว่าเวิร์คละ ยิ่งพอเริ่ม Standardize practice ใช้ถ้วยตวงกับขวดน้ำลิตรช่วยเป็น 1 ฝาตวงน้ำยาต่อน้ำเปล่า 4 ขวดลิตรการเตรียมก็ยุ่งยากน้อยลงไปอีก กลายเป็นนี่เป็นวิธีหลักที่ผมใช้ล้างรถตอนนี้เลยครับ สามารถจบงานได้ในเวลาไม่ถึงชั่วโมงนับตั้งแต่ เตรียมน้ำยาไปจนถึงเช็ดแห้ง ข้อเสียเดียวที่คิดออกตอนนี้คือพอมาใช้ Spray ธรรมดานี่เมื่อยมือมากครับ ซึ่งมันก็มีวิธีแก้ (ด้วยเงิน) แหละ แต่ตอนนี้อยาก Keep It Simple Stupid ก่อนเพื่อที่จะได้ keep momentum ของการดูแลรถต่อไป ทุกที่ ทุกเวลา
หลังจากเล่ามาทั้งหมด น่าจะเห็นแล้วใช่มั้ยครับว่าการล้างรถเนี่ย มันไม่ได้มีแค่ล้างรถ มันมี Practices ที่พัฒนาขึ้นทุกยุค มันมี Process ที่เราสามารถพัฒนาให้มีประสิทธิภาพได้ มันมี Reward ที่ให้เราได้มองดูรถเราที่มันสะอาดในทุกๆ วันและที่สำคัญที่สุด มันมีอะไรให้ผมเรียนรู้ได้เรื่อยๆ ไม่หยุดเลยครับตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา
และสำหรับใครที่อ่านมาจนถึงจุดนี้แล้วรู้สึกว่า ผมพูดอะไรฟะ มีแต่ศัพท์เฉพาะก็ไม่ต้องตกใจไปครับ เพราะมีเรื่องระหว่างทางที่ผมไม่ได้อธิบายหลายอย่างมากทั้ง Practice ระหว่างล้าง Technology ที่พัฒนาขึ้นมาตลอดหลายปี ฯลฯ ซึ่งบล็อกเกี่ยวกับการล้างรถแบบ Detailing ผมไม่ได้จบแค่นี้แน่นอนครับ บอกไว้ล่วงหน้าเลยว่าจะมีอีก 3 บล็อกตามมาหลังจากนี้คือ
- Full scale wash, clay and seal — จะลงรายละเอียดเครื่องมือ, สารเคมี, Practices และ Process ในการล้างแบบเต็มระบบครับ
- Interior detailing — จะเห็นว่าผมไม่ได้เล่าเรื่องการทำความสะอาดภายในเลย เพราะว่าอันนี้เป็นอีกศาสตร์นึงเลย คิดว่าจะมาลงรายละเอียดในบล็อกนี้
- Rinseless wash — จะเหมือนบล็อก Full scale เลยครบ แต่เป็นอีก Paradigm ที่ผมตกหลุมรักมันอยู่ตอนนี้
ซึ่งถ้าสนใจก็คอยติดตามต่อได้ในบล็อกนี้เลยครับ หรือถ้าใครมีคำถามหรืออยากได้คำแนะนำอะไรก็ทิ้งคอมเม้นทิ้งไว้ได้ครับผม