เอาเวลาที่ไหนไปอ่านหนังสือนะ 📚🤔
เหตุเกิดจากเมื่อวานมีน้องในทีมอยู่ดีๆ มาถามว่า "พี่เอาเวลาตอนไหนไปอ่านหนังสือนะ" ตอนนั้นคือไม่รู้ว่าจะมีเวลาเท่าไรเลยตอบแบบสั้นๆ ไป
ทุกช่วงเวลาที่ว่างนะแหละ
แล้วหลังจากนั้นผมก็ยกตัวอย่างช่วงเวลาที่ว่างที่พอจะนึกออกเช่น ระหว่างรอสั่งข้าว, ยืนบนรถไฟฟ้า, นั่งขี้, ก่อนนอน, ตื่นนอน ฯลฯ แต่กลัวว่าจะไม่เกทเลยรู้สึกว่าต้องมีเขียนบล็อกต่อนี่แหละ
มันเริ่มมาจากความเจ็บปวด
จริงๆ มันมีที่มาว่าผมรู้สึกแย่มากที่ตัวเองไม่ค่อยมีเวลาได้อ่านหนังสือ แบบ เห้ย เรารู้นะว่าการอ่านหนังสือมันดี พออ่านแล้วชีวิตเราดีขึ้น เราก็อยากจะอ่านมัน แต่แค่อยากมันไม่ได้ไง ยิ่งช่วงหลังๆ ที่มีสิ่งเร้าเยอะมาก เช่น พอกลับถึงคอนโด ก็เปิดทีวีเลย หรือถ้าว่างก็หยิบมือถือขึ้นมาไถๆ Facebook, Twitter ทำให้เราไม่มีที่ว่างให้หนังสือเลย
แต่ถึงจะไม่มีเวลาให้หนังสือ แต่ผมสามารถซื้อหนังสือมาเติมได้เรื่อยๆ ด้วยจังหวะชีวิตที่พอเข้าฟิตเนส แล้วออกมามี Routine ว่าจะต้องแวบเข้าไปร้านหนังสือ มันทำให้จำได้เลยว่า เล่มไหนเพิ่งวางแผง เล่มไหนเล็งไว้ก่อนหน้านี้ คือสามารถ git diff ชั้นหนังสือดูได้เลยว่าอะไรเปลี่ยนไปตรงไหน
แก้ที่พฤติกรรมก่อนเลย
ตอนช่วงที่ผมแบบไม่ไหวแล้วโว้ย "อยากอ่านหนังสือ" เป็นช่วงเวลากับที่ผมเริ่มทำ Bujo ใหม่อีกรอบแล้วเอา tooling อย่าง Habit Tracker มาช่วยด้วย (อ่านได้ในบล็อก เรากลับมาทำ BuJo ได้หนึ่งเดือนแล้ว ครับ) แต่ที่ผมไม่ได้พูดถึงในนั้นมีอยู่ 2 เรื่องครับ
- ตอนผมทำ Tracker ผม Challenge ตัวเองหนักมากว่าต้องได้ Streak เยอะๆ คือไม่ต้องอ่านเยอะ แต่ต้องอ่านทุกวัน มันเลยค่อยๆ เริ่มจากอ่านใน BTS ตอนที่ยังต้องนั่งยาวๆ ไป 40 นาที ไปกลับก็ 1 ชั่วโมง 20 นาทีละ ที่จะได้อยู่กับหนังสือ
- จังหวะที่ระบายสีลงในช่องแต่ละวันว่าเราได้อ่าน นี่มันฟินมากครับ ตอนผ่านไปอาทิตย์แรกนี่ก็ฟินแล้ว ว่าโห เราทำได้ติดต่อกันถึง 7 วันเลยเหรอ แล้วด้วยความกลัวเสียสถิติ ผมเลยพยายามทำลายสถิติตัวเองมากขึ้นทุกวัน
ซึ่งตอนแก้พฤติกรรมมันเหนื่อยนะ และผมอยากให้รางวัลกับมันบ้าง จริงๆ เป้าหมายผมตอนนั้นง่ายมาก คือผมอยากได้ Kindle มาตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัยละ แล้วก็ไม่มีโอกาสซักที พอถามแฟน แฟนก็บอกว่า อยากได้มาเดี๋ยวก็เบื่อ เลย Challenge กับตัวเองว่า ถ้าอ่านหนังสือได้ 30 วันติด จะถอยเลย ซึ่งทำได้จริงๆ นะ แล้วก็ถอยมาเลย Kindle Paperwhite ทำให้รู้สึกสนุกกับตอนอ่านหนังสือมากขึ้นอีก
เพราะทุกครั้งที่หยิบ Kindle ขึ้นมาอ่าน มันจะคอยเตือนว่า กว่าจะได้อิเครื่องนี้มาเนี่ย ต้องอ่านหนังสือติดต่อกัน 30 วันเลยนะ "ใช้ให้คุ้มนะ" - เสียงตัวเองตอนพยายามเปลี่ยนพฤติกรรมบอกมา
เดี๋ยวนี้ยัง Track อยู่นะ แต่ใน Kindle แทน ง่ายกว่า
วิธีที่ไม่เวิร์ค (สำหรับผม)
จริงๆ พอเราไป search Google มันจะมีวิธีมากมายที่จะ "ช่วยให้เราอ่านหนังสือได้มากขึ้น" อันนี้คือสิ่งที่ผมเคยลองแล้วไม่เวิร์ค
- อ่านก่อนนอน/ตื่นนอนทุกวัน - ก่อนอื่นเลยผมยังอ่าน ก่อนนอน/ตื่นนอน อยู่นะ แต่สิ่งสำคัญคือ "ไม่ทุกวัน" เพราะบางวันเราเหนื่อยจริงๆ ก็ไม่ต้องฝืนครับ ไม่งั้นหนังสือ มันจะตกมาทับหัวเราได้ แต่ในเคสตอนตื่น นี่ก็ไม่ไหวเพราะบางทีมันก็ง่วง จนอ่านๆ ไปแล้วตาหลายหลงบรรทัดบ่อยมาก สำหรับข้อนี้ผมเลยทำบ้าง ถ้ามีความอยาก แต่ไม่ได้ทำ "ทุกวัน"
- พกหนังสือติดตัวไว้ 2-3 เล่ม จะได้อ่านได้ - ส่วนตัวผมเป็นคนเบื่อง่ายครับ เพราะฉะนั้นผมเลยไม่อ่านหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งยาวๆ ติดต่อกัน แต่จะอ่านสลับไป สลับมาหลายๆ เล่มแทน ซึ่งอันนี้ปัญหาหลักเลยคือมันหนัก แต่แก้ได้ด้วย Kindle ครับ
- อ่านวันละหน้า - อันนี้ก็ไม่เวิร์คสำหรับผมนะ เพราะเวลาอ่านแล้ว จะชอบไปจนจบ Chapter หรือย่อหน้านึงก็ยังดี พอบังคับตัวเองให้อยู่ในหน้าเดียวแล้ว ผมค้างคาหนะ เอะหรือว่ามันเป็น Goal ของวิธีนี้นะ
วิธีที่เวิร์ค (สำหรับผมเช่นกัน)
- อย่าไปจำกัดมันแค่ Physical book - คือหนังสือ มันมีหลาย Format ไง จะไปรออ่านเป็นเล่มจริงๆ ก็กว่าจะถึงบ้าน (แต่บางเล่มมันก็มีแต่ Physical จริงๆ) ถึงจะได้อ่าน หรือต้องแบกไปถึงจะได้อ่าน ซึ่งพอมาอ่านบน ebook มันก็จะเข้าถึงได้ตลอดเวลามากกว่า ขี้เกียจหยิบ Kindle หยิบมือถือได้ มีจังหวะว่างตอนเปิดคอมก็อ่านในคอมได้ คืออ่านได้ทุกที่ ทุกเวลาครับ ตราบใดที่มี electronics device แต่ข้อเสียคือ หนังสือไทยดีๆ ยังไม่อยู่ใน ebook ครับ
- ช่วงเวลานักไถ - ผมเชื่อว่าถ้าเรามีเวลาหยิบมือถือมาไถ Facebook/Twitter ได้ ช่วงเวลานั้นแหละ เราก็อ่านหนังสือได้เช่นกัน แล้วนี่น่าจะเป็นตัวหลักเลยที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ได้อ่าน แต่จะทำไม่ได้เลย ถ้าขาดข้อล่างครับ
- ย้ายแอพอ่าน ebook มาไว้ในหน้าแรกของโทรศัพท์ - ท่านี้ผมได้มาจากหนังสือ Make Time เลยคือ ถ้าเราอยากจะทำอะไร เราต้องลด Friction มันให้มากที่สุด และถ้าอยากเลิกทำอะไร ก็ต้องเพิ่ม Friction มันให้มากที่สุดครับ การที่แอพอ่านหนังสือ มันอยู่หน้าแรกทำให้เปิดมา เราจะ "เห็น" ว่าเราอ่านหนังสือได้นะ หรือจะไปไถ Facebook แทน Choice is yours ครับ
- เอาไปโม้ - อ่านอย่างเดียว มันไม่ฟินครับ ต้องเอาไปโม้หรือเอาไปแชร์ด้วย ซึ่งอาจจะเขียนบล็อก โพส Facebook หรือเล่าให้เพื่อนฟัง ผมค้นพบอย่างนึงว่า จังหวะตอนที่เราแชร์ เราได้ Defragment เรื่องที่เราอ่านมาด้วย และ Feedback ตอนเราได้จากการเล่าให้คนอื่นฟัง มันเป็นกำลังใจที่พาเราอ่านต่อไปครับ
พยายามรักษา Momentum เอาไว้
จริงๆ เราอยากอ่านหนังสือ หลายๆ ครั้ง เราไม่ได้อยากอ่านเองหรอก แต่เราไปเห็นคนอื่นอ่าน คนอื่นสรุปว่า เล่มนั้นดี เล่มนี้โดน เอาคำคมจากเล่มนั้นมาแชร์ จังหวะที่เราเห็นอะครับ มันจะเกิดความปรารถนา อย่างแรงกล้า ที่อยากจะไปอ่านเล่มนั้น ซึ่งถ้าโชคดีเรามีจังหวะพอดี เราก็อาจจะกดซื้อเล่มนั้นมา แล้วอ่านเลย ในขณะที่ Momentum นั้นยังมีอยู่
ซึ่ง Momentum ไม่ได้มาในรูปแบบเดียว แต่บางครั้ง เราต้องการแก้ปัญหาอะไรบางอย่างในชีวิต เช่น เราอยากรู้เรื่อง Service Design มีหนังสืออะไรให้อ่านมั่ง หรือ เราอยากจะเข้าใจ Self Esteem ในตัวเรามีอะไรให้เราอ่านมั่ง ซึ่งนี่ก็เป็นอีกวิธีที่ทำให้ Momentum การอ่านมันต่อเนื่องไปได้ และหลายๆ ครั้งมันจะถึงจุดที่เราร้อง เชี่ยยยย นี่แหละสิ่งที่เราตามหา
ใช้ Save ของ Facebook ให้เป็นประโยชน์ครับ
ก็ประมาณนี้ครับ ผมไม่รู้ว่าจะช่วยให้เข้าใจมากขึ้นมั้ย ถ้าใครมีเทคนิคอะไรอยากแชร์ ผมยินดีรับฟังมากครับ แล้วถ้ามีหนังสืออะไรอยากแนะนำก็จัดเลยครับ ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้มาก ผมซาบซึ้งจริงๆ นะ