2022
ผมคิดมาหลายวันละ ว่าถ้าปีแรกของอายุขึ้นต้นด้วยเลข 3 นี่ผมไม่ได้เขียน Year In Review ผมคงจะเสียใจมาก เพราะมันมีเรื่องราว เยอะจัดๆ แล้วหนักด้วย ถึงแม้ตอนนี้จะผ่านมาได้เกือบหมดละ แต่พอมองย้อนไปนี่มันไม่ง่ายเลย
👨🦳💰 Dad & Dept
เรื่องแรกที่ใหญ่ที่สุดปีนี้เลยคือพ่อป่วยติดเชื้อที่ขาตอนช่วงต้นปี ทั้งๆ ที่เป็นคนออกกำลังกายทุกวัน หนักจนถึงระดับที่ว่าตอนหนักๆ นี่ไม่พูดไม่จาเลย แล้วยังจำได้แม่นว่าเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่โควิดระบาดหนักสุดในปีนี้ ทำให้ช่วงสัปดาห์แรกที่พ่อป่วยไม่ได้เจอหน้าเลย แม่ก็ไปเจอหน้าไม่ได้เพราะโรงพยาบาลปิดวอร์ดหมด เป็นสาม สี่วันที่ระทึกมากตอนนั้นเพราะกลัวทั้งอาการที่พ่อป่วย กลัวโควิดมาแทรกซ้อนอีก แต่พ่อก็เอาตัวรอดมาได้พร้อมกับเรื่องเล่าความหิวน้ำที่ยังเล่าจนถึงทุกวันนี้ แต่ก็ยังไม่จบเพราะต้องพักฟื้นอีกเกือบๆ เดือนนึง ถึงได้กลับบ้าน ซึ่งตอนนี้ก็กลับมาพูดเสียงดังปกติ พร้อมกับน้ำหนักที่ลดไปจากจุดสูงสุดไปเกือบ 15 กิโล
ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่พ่อป่วย ตอนนั้นเลยได้รู้ความจริงอีกอย่างว่าที่บ้านที่หนี้สินอยู่จำนวนนึง อาจจะไม่ได้เยอะมากถ้าเทียบกับคนอื่น แต่ก็ไม่สามารถจ่ายให้หมดได้ภายในวันเดียว ซึ่งพอพ่อป่วยระบบที่พ่อคอยดูแลหนี้ตัวนี้มันรวนหมดเลย เพราะพ่อไปจ่ายเองไม่ได้ เลยทำให้ที่บ้านต้องช่วยกันจัดการกัน หลังจากตั้งสติได้แล้วก็คือต้องงัดทุกความรู้กับประสบการณ์ในการจัดการหนี้ตัวเองมาก่อนหน้านี้มาใช้ทั้งหมด จนได้แผนที่ตอนแรกถูก Projection ไว้ว่าหนี้ตัวนี้เนี่ย น่าจะหมดกลางๆ ปี 2025 แต่ Inspect & Adapt แผนมาเรื่อยๆ จนบอกได้เต็มปากเลยว่าหนี้ 95% ถูกจัดการหมดแล้วในปี 2022 นี้
ขอเล่าเรื่องหนี้ต่ออีกนิดนึงละกัน คือจริงๆ มันไม่ยากแต่เราต้อง Proactive กับมันแทนที่จะ Reactive ตอนบิลแจ้งหนี้มันมาถึงบ้านแล้วตลอดปีที่ผ่านมา Principle หลักๆ ที่ใช้ตอนจัดการจะมีอยู่ 3 อย่างเลยคือ cash flow ถ้าไม่มี cash flow เอาไปจ่ายหนี้อย่างเดียวจนหมดไม่มีตังค์กินข้าวทำอย่างอื่น เราจะไม่มีแรงไปทำงานหาเงินต่อเลย อันนี้คืออย่างแรก อย่างที่สองคือ Visualize คือตอนแรกที่เรารู้ว่ามีเรื่องหนี้นี้ไม่มีใครเห็นภาพเลยว่ามันมากแค่ไหน แล้วมาจากตรงไหนบ้าง พอเรา Projection ออกมาได้มันเลยทำให้วางแผนได้ง่ายขึ้นมากว่าจะจัดการยังไง อย่างสุดท้ายพูดไปข้างบนแล้วคือ Inspect & Adapt ทุกๆ 2-3 เดือนในปีนี้ผมกลับมารีวิวแผนที่วางไว้ แล้วแทบจะปรับใหม่ทุกครั้ง หลังเราเข้าใจธรรมชาติของหนี้หลายๆ อย่างมากขึ้นเลยทำให้ค่อยๆ ร่นเวลาเข้ามาได้จนหมดไปส่วนใหญ่ในปีนี้
👨💻 Lost & Found
ช่วงต้นปีนี่ยังมีความหลงทางอยู่ว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่ รู้แค่ว่าทำ Backend อยู่ไปเรื่อยๆ ไม่ได้ละ เลยพยายามหาลู่ทางออกนอกประเทศ พร้อมๆ กับเรียน Java Bootcamp ที่สุดท้ายเรียนไม่จบเพราะมีเรื่องข้างบนเข้ามาพอดี ในช่วงที่ in the void พอดีนี้ก็มีคุณภูมิใจนี่แหละทักมา เลยจับพลัดจับพลูได้มาทำงานอยู่ที่ปัจจุบัน
ในช่วงเวลาตอนต้นปีถึงกลางปีนั้นมีความทรงจำดีๆ หลายเรื่องอยู่หลังจากผ่านวิกฤติพ่อที่เล่าข้างบนมาได้ ไม่ว่าจะเป็น How to ลาออก ยังไงไม่ให้บ้านบึ้มหรือ👷📚 เล่าให้ฟัง: ย้ายสายจาก Software Engineer มาเป็น Data Engineer สามเดือนแรกหรือหลังจากนั้นถึงแม้ว่าจะไม่ได้เขียนเล่าออกมาเป็นบล็อกเท่าไร แต่บอกได้เลยว่างานที่ทำอยู่นี่มีอะไรให้ทำอีกเยอะมาก แล้วทุกวันที่ทำงานยังรู้สึกว่าเป็น A whole new world อยู่เพราะโลกหมุนไปเร็วเหลือเกิน แต่ถ้าจะมีอะไรที่อยากพูดถึงเรื่องงานมี 3 เรื่อง
อย่างแรกคือ Dagster รู้สึกโชคดีอย่างนึงที่เข้ามาใช้งานจริงๆ ในจังหวะที่ Dagster กำลัง move แบบก้าวกระโดดมากๆ พอดี เลยได้เห็นจังหวะกำลังเปลี่ยนจากโลกเดิมจาก solid, pipeline ไปเป็น ops, jobs เรื่อยมาจนถึงยุค Software-defined Assets ที่ได้มีโอกาสไปแชร์เรื่องนี้ที่งาน Grill The Data กับใน Internal Engineering Training ด้วย
อย่างที่สองคือไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะทำงานบน Jupyter Notebook ได้และชอบด้วย ก่อนจะมาทำงานที่นี่ถึงแม้จะมีโอกาสได้ใช้บ้าง แต่ก็ยังเชื่อว่าเขียนเป็น Python file ง่ายกว่าเป็น comfort zone กว่า จนเริ่มมาอยู่กับ Notebook จริงๆ จังๆ ช่วงครึ่งปีหลังเลยได้รู้จักมันมากขึ้นว่า มันไม่ใช่แค่เขียนโค้ดได้ แต่มันเอาไว้ experiment, share knowledge, ทำเป็น artifact ฯลฯ คือมันทำอะไรได้เยอะมากๆ คล้ายๆ กับตอนใช้ emacs org mode แต่เข้าถึงง่ายกว่ามาก
อย่างที่สามคือโลก SQL เป็นอะไรที่ลึกล้ำมากและเปิดโลกมากๆ ตลอดปีที่ผ่านมาทำให้รู้เลยว่าตอนเขียน application วิธีที่ใช้ SQL อยู่คือน้อยกว่าคนทำงานทาง Data มากๆ แต่ก็รู้สึกหลายอย่างเหมือนกันว่า Practices จากฝั่งการทำ application ก็ไหลๆ มาหางานทาง Data ในแนวเดียวกันเหมือนกัน สังเกตุจากสิ่งที่ dbt ทำหรือ tooling ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาในโลก SQL แต่ถึง SQL จะ unified ขนาดไหนความรู้ในการ tuning database ที่สะสมกันมาเป็นสิบๆ ปีก็ยังใช้ได้เสมอ ทั้งการ optimize query plan, การทำ indexing ฯลฯ ของพวกนี้รู้ไว้ยังหากินได้อีกยาวไกลครับ
🏡 🚙 F A M I L Y
เอาจริงๆ ถ้าไม่มีกะตั๊กนี่จินตนาการไม่ออกเลยว่าชีวิตจะเป็นยังไง ตั้งแต่ที่ต้องกลับมาคอยดูแลพ่อกับแม่ตอนต้นปี ก็มีกะตั๊กบินกลับมาอยู่บุรีรัมย์ด้วย เลยได้ลองใช้ชีวิตอยู่บ้านแทนคอนโดที่อยู่มาหลายปี เลยเริ่มเข้าใจว่าชีวิตแบบนี้มันก็สบายอีกแบบนะ
แล้วภาพแบบนี้ก็เริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งสัญญาคอนโดใกล้จะหมด แล้วคุยไปเหมือนจะต่อสั้นๆ ไม่ได้เลยได้ตระเวนหาบ้านเช่าในกรุงเทพฯ ตลอดเดือนตุลาคม ซึ่งจริงๆ เรื่องเล่าตอนหาบ้านกับคุณกะตั๊กนี่บอกได้เลยว่ามันจัดๆ ทั้งไปเจอบ้านที่ติดยัน ทิ้งใบปริญญาไว้แบบหลอนๆ หรือบ้านที่เราเลือก แต่เจ้าของบ้านไม่เลือกเรา ฯลฯ แล้วก็มีคุณธอร์นี่แหละ ที่ได้ฟังเรื่องนี้แบบเต็มๆ จนชาบูเนื้อร้านลับที่เชียงใหม่ของคุณธอร์อร่อยขึ้นอีกเป็นกอง
ซึ่งสุดท้ายแล้วเดือนพฤศจิกายนก็เลยได้บอกลาการเป็นชาวเมือง มาเป็นชาวชานเมืองอยู่บ้าน ทำอาหารกินเองเต็มตัว แล้วทำให้ค้นพบว่าทุกๆ อย่างดูกว้างขวางขึ้นแล้วก็เงียบขึ้นแบบรู้สึกได้ อีกอย่างนึงที่ได้มาจากการออกมาอยู่บ้านแทนคอนโด คือการได้ทำห้องทำงานเองนี่แหละ ซึ่งสนุกนะแล้วมันเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตไปเลย เพราะการไปทำงานคือการไปเข้าห้องทำงานจริงๆ แยกออกมาจากการใช้ชีวิตในบ้านส่วนอื่นๆ ทำให้เวลาพักผ่อนมัน fully charge กว่าสมัยก่อนมาก
แต่การอยู่นอกเมืองก็มี cost ที่ต้องแลกมาคือต้องมีรถ ช่วงแรกๆ ที่อยู่นี่ ลำบากสัสๆ เรียก Grab ไม่ได้เลยจะมีแต่ LINE Man Taxi นี่แหละที่พอเรียกติดบ้าง แล้วการแค่ไปตลาดห่างจากบ้านไปแค่ 3km ที่อาจจะแวบไปแปปเดียว แต่ใช้เวลาตั้งครึ่ง ชม. เพราะกว่า Taxi จะผ่านมาซักคันนี่รอจนเมื่อย ซึ่งสุดท้ายแล้วมันทนไม่ไหวแล้วต้องใช้รถจริงๆ เลยไม่รอละ Civic FE ที่จองไว้แบบไม่รู้อนาคต เลยกระโดดไปหา Toyota Corolla Cross GR Sport ได้เป็นรถแฝดกับรถพี่เหน่งเฉย พร้อมกับความสามารถในการโม้ได้ว่าเลขตัวถังรถเราสวยมาก ฮ่าๆ
ปล.จริงๆ ปีนี้ติดโควิดด้วย จริงๆ เข้าโรงพยาบาลก็บ่อยนะ แต่โควิดนี่คือโหดมาก หนาวสั่นไปหลายวัน เจ็บคอไปหลายวันกว่าจะหาย แต่กะตั๊กก็ยังแข็งแกร่งอยู่ด้วยกันทุกวัน แต่ก็ยังไม่ติดจนถึงทุกวันนี้